8 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการศึกษา ที่ครูไทยต้องใช้สอนในยุคดิจิทัล

 

8 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการศึกษา ที่ครูไทยต้องใช้สอนในยุคดิจิทัล

 

การศึกษาไทยในยุคดิจิทัลเป็นการเรียนการสอนที่ครูต้องสามารถรับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้เด็กไทยได้รับการพัฒนาครบทุกทักษะที่เด็กต้องใช้ในโลกอนาคตได้ 8 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการศึกษายุคดิจิทัล ที่ครูต้องมีติดตัวเป็นอาวุธลับในการสอน จะมีอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

 

การศึกษาไทยสู่การเรียนการสอนในยุคดิจิทัล

 

Covic-19กับการศึกษาไทยในยุคดิจิทัล

Covid-19 เร่งปฏิกิริยาให้การศึกษาก้าวเข้าสู่การศึกษายุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว 2-3 ปีมานี้เลยปรากฏสิ่งต่าง ๆ ให้เราเห็นมากมาย ทั้ง AR VR 5G Application ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่ง Influencer AI ก็มีให้เห็นกันมาแล้ว ส่งผลทั้งต่อตัวผู้เรียน คุณครู และโรงเรียน ที่ต้องก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องไม่ลืมรักษาสมดุลของการศึกษาที่ต้องสอนตามบริบทที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และถึงแม้ว่ายุคดิจิทัลนี้ จะทำให้การศึกษาบ้านเราเป็นโลกแบบไร้ขีดจำกัด แต่ต้องไม่ลืมที่จะให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การใช้สื่อฯ ที่ถูกต้องด้วย ครูเองก็จะต้องแปลงร่างเป็น e-Teacher คือ ต้องมีประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ มีทักษะการสื่อสารที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ หรือขยายองค์ความรู้ไปสู่เด็ก ๆ ได้

 

 

วันนี้มาดู 8 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการศึกษาในยุคดิจิทัล
ที่ครูต้องมีติดตัวเป็นอาวุธลับในการสอนกัน

 

การศึกษาไทยกับการเรียนของเด็กปฐมวัย

 

1. สอนเรื่องพัฒนาการเด็ก

เป็นเรื่องการศึกษาของเด็กเล็ก แต่เป็นพื้นฐานที่เราต้องให้ความสำคัญมากที่สุด นั่นคือพัฒนาการของเด็ก แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา พัฒนาการของเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป บางคนอาจมีพัฒนาการที่เร็วบ้าง ช้าบ้าง เด็กที่มีพัฒนาการช้าอาจจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขา รวมถึงการส่งเสริมจากครอบครัว หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กอย่างถูกวิธีด้วย นอกจากนั้นพัฒนาการที่ดีต้องใช้สื่อที่เหมาะสมกับวัย เพื่อช่วยให้พวกเขามีพัฒนาการครบ 4 ด้านอย่างสมวัย อาทิ

 

1.1. พัฒนาการด้านร่างกาย และสติปัญญา แบ่งเป็นภาพใหญ่ ๆ คือ  

 

▪ พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว (Gross Motor) การใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การเดิน ยืน วิ่ง กระโดด เคลื่อนไหวร่างกายในท่าต่าง ๆ การทรงตัว

▪ พัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และสติปัญญา (Fine Motor) เช่น หยิบจับสิ่งของ ตัดกระดาษ แยกรูปทรง ประกอบชิ้นส่วน วาดเขียนตามแบบได้

ซึ่งเกณฑ์ของ DSPM ได้จัดให้สื่อประเภท บล็อกไม้ เครื่องเคาะจังหวะ ตุ๊กตา ดินสอ หรือกระดาษ สามารถช่วยในเรื่องพัฒนาการด้านร่างกาย และสติปัญญาได้ โดยคุณครูอาจจะหากิจกรรมที่กระตุ้นการเรียนรู้ และสามารถให้เด็กลงมือทำจริงแบบ Active learning เพื่อให้เด็กได้สมรรถนะตามวัยของพวกเขา

 

ตัวช่วยให้เด็กทำกิจกรรม

ดนตรีหรรษา 

กระดานไม้เสริมทักษะ    

บล็อกไม้สร้างสรรค์  

Interactive3Dช่วยเสริมการสอนให้การศึกษาไทย

 

2. เทคโนโลยียุคดิจิทัล

สมัยก่อนเวลาเราสอนวิชาที่ต้องเรียนรู้จากของจริงถึงจะเข้าใจ เช่น สอนอวัยวะภายในร่างกาย เราต้องใช้ภาพโปสเตอร์ หรือไม่ก็จากหุ่น เด็กต้องใช้จินตนาการเพื่อทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่ในยุคที่มีสื่อดิจิทัลที่ไม่มีอะไรสามารถกีดขวางการเรียนการสอนได้ เพียงแค่เปิดคลิป หรือสแกน Interactive3D ก็สามารถสอนให้เด็กเห็นในสิ่งที่ยากจะอธิบาย และเข้าถึงได้ ซึ่งการดึงสื่อยุคใหม่มาใช้ในบริบทการสอนแบบไทย จำเป็นจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของเด็กยุคใหม่ให้ดีก่อน ดูว่าพวกเขาต้องการอะไรในการเรียนรู้รวมถึงความพร้อมของผู้เรียนเองด้วย แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ดูว่าเราสามารถประยุกต์ใช้กับการสอนได้อย่างไร จากนั้นเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดมาใช้เป็นสื่อในการสอน และในขณะเดียวกันก็ต้องคอยติดตามผลว่าสื่อเหล่านั้นมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ต่อเด็กมากแค่ไหน และแก้ไขให้ดีขึ้น ก็จะช่วยให้การสอนมีคุณภาพ เด็ก ๆ ก็จะได้รับประโยชน์เต็มที่

 

เทคโนโลยีดิจิทัลจากอักษรที่ช่วยคุณได้

 TWIG

TIGTAG 

 Aksorn On-Learn 

คลิกชมตัวอย่าง 3D     

 

 

PowerPointสื่อประกอบการสอนเสริมการสอนให้การศึกษาไทยPowerPointสื่อประกอบการสอนเสริมการสอนให้การศึกษาไทย

 

3.เครื่องมือครู

เครื่องมือครูที่ช่วยเสริมการสอนให้เจ๋งที่สุดในตอนนี้คงหนี้ไม่พ้น สื่อประกอบการสอน นอกจากเด็กจะเรียนทันเกม รู้ทันโลกแล้วเจ้าสื่อประกอบการสอนเหล่านี้ยังช่วยลดความเหนื่อยของครูอีกด้วย เพราะครูแค่วางแผนการสอนให้ตรงใจแล้วเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับการสอนในคาบนั้น ๆ

สื่อประกอบการสอนในยุคดิจิทัลนอกจาก แผนฯ คู่มือครูแล้ว ปัจจุบันนี้ยังมี PowerPoint ใบงานที่สามารถคลิกและสแกนแล้วสามารถมีเสียง เล่นได้ เคลื่อนไหวได้ก็มี ฯลฯ ซึ่งก่อนที่จะนำเครื่องมือแต่ละอย่างไปใช้ควรศึกษาลักษณะ และคุณสมบัติของเครื่องมือนั้น ๆ แล้วนำไปใช้ให้เหมาะสม และถูกวิธี นอกจากจะช่วยให้คุณครูสอนได้ง่ายขึ้น และช่วยลดภาระในการเตรียมการสอนได้ดีขึ้นแล้ว เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้เร็วขึ้น และได้ทักษะที่ครบถ้วนอีกด้วย

ดาวน์โหลดสื่อประกอบการสอนฟรี คลิก : www.aksorn.com/download

 

4. ผู้ปกครองหรือครอบครัว

ครอบครัว คือ ครูคนแรกของเด็กที่สอนทักษะ และพื้นฐานก่อนที่พวกเขาจะเข้าโรงเรียน เมื่อเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาแล้วการเรียนรู้จะต้องเชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษา และครอบครัวได้ เพื่อให้การเรียนรู้ของเด็กต่อเนื่อง ทำให้การเรียนรู้มีความหมาย และสามารถเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริงได้

 

5. สอนให้เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน

การศึกษาสำหรับเด็กยุคใหม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเรียนรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน รู้เท่าทันปัญหาในสังคม มีทักษะที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสอนให้เด็กรู้จักการแก้ไขปัญหาเป็น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ซึ่งครูอย่างเราอาจต้องมีข้อมูลที่มากพอ พยายามสอดแทรกความรู้ และหาแนวทางในการแก้ปัญหา อาจจะมาในรูปแบบกิจกรรมเพื่อให้เด็ก ๆ สนุกกับการเรียนรู้ หรือการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ชวนรู้ ชวนสงสัย และสนุกกับการหาคำตอบ เช่น การตั้งคำถาม หรือการเรียนด้วยการแก้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-base Learning) เป็นต้น

 

6. การบูรณาการกิจกรรม หรือการศึกษาต่าง ๆ

การเชื่อมโยงความรู้ในหลายศาสตร์เข้ามาไว้รวมกันเป็นอีกหนึ่งทักษะที่การศึกษาไทย และคุณครูจำเป็นต้องมีเช่น เมื่อต้องสอนวิทยาศาสตร์ เราควรนำความรู้ทางคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม หรือที่เรารู้กันว่าเป็นการเรียนแบบ STEM ศึกษา และการนำเอาการเรียนแบบ STEM มาใช้ร่วมกับศิลปะช่วยเสริมเรื่องความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจ ความสุขในการเรียนรู้ สู่การเติบโตอย่างสมดุล หรือที่เรียกกันว่า STEAM ศาสตร์บูรณาการเหล่านี้จะเพิ่มทักษะการคิดอย่างเป็นขั้นตอน หรือรู้จักแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ

 

7. สอนให้เด็กรู้จักอารมณ์ของตัวเอง

เด็กในวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า การที่จะให้เด็กยุคใหม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี จำเป็นต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ทักษะทางอารมณ์ และสังคม การร่วมมือ การสื่อสาร และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และเป็นทักษะสำคัญสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต

 

8. การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ

ทำไมเราต้องหันมาสนใจเรื่องจัดการศึกษาพิเศษ เพราะมีเด็กไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-2 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ตามวัย กว่า 70,000 คน และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการแก้ไข และดูแลที่มากพอ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การจะต้องคำนึงถึงการเรียนรู้เฉพาะบุคคล รวมทั้งจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื้อหา เครื่องมือและอุปกรณ์ ที่เหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะ และกระบวนการเรียนรู้ อย่างเต็มศักยภาพ

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

 

 
 
 
แชร์

บทความที่เกี่ยวข้อง